Ways to say “I don’t know.” สารพัดวิธีบอกว่า “ฉันไม่รู้”
ศิลปะการเรียนภาษาอังกฤษ ในส่วนของ speaking คือ เอาคำพูด ในสถนะการณ์ ต่างๆ ไม่ซ้ำกัน ทำให้การ สอบ IELTS part speaking ได้คะแนน ดีขึ้น
“I don’t know. ฉันไม่รู้” เป็นประโยคง่าย ๆ ที่เรารู้จักดีและใช้กันบ่อยด้วย แต่เคยคิดไหมคะว่าที่จริงแล้วการจะบอกใครสักคนว่า “ฉันไม่รู้” กลับไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป ต้องเลือกสถานการณ์และดูความสนิทสนมของคนที่เราจะใช้ด้วย ในสถานการณ์ที่ทางการมาก ๆ อย่างการประชุม อภิปราย สัมภาษณ์งาน หรือการเจรจาธุรกิจการจะปฏิเสธตรง ๆ ว่าไม่รู้ก็ต้องใช้ภาษาที่สุภาพ และจะให้ดีก็ต้องหาคำอธิบายและทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อไว้ด้วย ซึ่งคอลัมน์ติดปากติดใจเคยนำเสนอตัวอย่างประโยคประเภทนี้ไปแล้ว
แต่ในสถานการณ์สบาย ๆ ที่ไม่ต้องการพิธีรีตองมาก โดยเฉพาะกับคนที่เราจักหรือพิธีรีตองมาก โดยเฉพาะกับคนที่เรารู้จักหรือสนิทสนมด้วยแล้ว ถึงการยอมรับแบบตรงไปตรงมาไม่ใช่เรื่องยาก แต่เราจะบอกว่า “ฉันไม่รู้” ยังไง ให้ฟังเป็นธรรมชาติ สั้น กระชับ เจ๋ง และได้ใจความ ที่สำคัญคือไม่ต้องง้อคำว่า “I don’t’ know.” อีกแล้วด้วย
เรามาดูตัวอย่างสารพัดวิธีบอกว่า “ฉันไม่รู้” เพื่อให้ เราดูเป็นคน น่าสนใจ ขึ้นมาทีเดียว ถึงแม้เราจะไม่รู้
คำศัพท์น่าสนใจ
Clue (n./v.) ร่องรอยบอกเงื่อนงำ
Beat (v.) ตี
Idea (n.) ความคิด
Guess (n./v.) การเดา คาดเดา
Mine (pron.) ของฉัน
Mind reader (n.) นักอ่านใจคน
การบอกว่า “ฉันไม่รู้” กับคนที่เรารู้จัก ไม่ได้หมายความว่าต้องใช้ประโยคอินดี้ โชว์ซี้ปี๊กกับคู่สนทนาเสมอไป ถึงรู้จักแล้วเราก็ยังสุภาพกันได้ใช่ไหมคะ เพราะเราต้องดูกาลเทศะประกอบไปด้วย อย่างเวลาคุยกันในที่ทำงาน หรือแม้แต่สถานที่สาธารณะ เพราะฉะนั้นเรามาเริ่มจากการคุยในระดับกึ่งทางการ กึ่งสบาย ๆ กันก่อนดีกว่า
เราสามารถใส่คำว่า “Sorry.” หรือ “I’m sorry.” ที่แปลว่า “ขอโทษนะ” รวมทั้ง “I’m afraid” ที่แปลว่า “ฉันเกรงว่า” เข้าไปข้างหน้า ทำให้ประโยคฟังดูสุภาพขึ้นทันตาเลยค่ะ ดูเป็นทางการว่าการโพล่งออกมาตรง ๆ ห้วน ๆ ด้วย
สมมุติว่าเพื่อนถามเราเกี่ยวกับโปรเจ็กต์ หรือความพยายามบางอย่าง เช่น
– Why didn’t it work?
ทำไมมันถึงไม่สำเร็จล่ะ
– Sorry. I don’t have the answer to that.
ขอโทษนะ ฉันไม่รู้คำตอบหรอก
– Sorry, I can’t help you there.
ขอโทษนะ ฉันไม่รู้หรอก
– I’m sorry, I can’t help you with that.
ขอโทษนะ ฉันไม่รู้หรอก
– I’m afraid I’ve no idea.
ฉันเกรงว่าจะไม่รู้คำตอบนะ
– I’m afraid I haven’t got a clue.
ฉันเกรงว่าจะไม่รู้คำตอบนะ
อีกแบบที่ใช้กับสถานการณ์แบบกึ่งทางการกึ่งสบาย ๆได้เหมือนกัน โดยเฉพาะเวลาต้องการบอกว่าเราไม่รู้หรือไม่มีข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเลย หรือจะบอกกลาย ๆ ว่าเราไม่ถนัดเรื่องนี้เลย หรือจะบอกกลาย ๆ ว่าเราไม่ถนัดเรื่องนี้เลย ก็ใช้ตัวอย่างแบบนี้ค่ะ เพื่อน ๆ สามารถปรับเปลี่ยนคำศัพท์หลัง “about…” ให้เหมาะกับสิ่งที่เราอยากจะบอกนะคะ
– I don’t know anything about computer games.
ฉันไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเกมคอมพิวเตอร์เลย
– I don’t know anything about him.
ฉันไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเขาเลย
แต่ถ้าพอจะรู้อยู่บ้างนะ เพียงแต่เป็นข้อมูลเล็กน้อย หรือถ้าพอจะออกความเห็นได้บ้าง แต่จะเอาบทวิเคราะห์เชิงลึกหรือให้วิจารณ์เป็นตุเป็นตะละก็ไม่ได้แน่ ๆ แบบนี้เรามีวิธีออกตัวไว้ก่อนแบบง่ายมาก ๆ โดยการเปลี่ยนคำศัพท์คำเดียวจากตัวอย่างเช็ตข้างบนเท่านั้นเอง นั่นคือเปลี่ยนจาก “anything” เป็น “much” อย่างเช่น
– I don’t know much about computer games.
ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องเกมคอมพิวเตอร์เท่าไรน่ะ
– I don’t know much about him.
ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องเขาเท่าไรนะ
ทีนี้มาถึงการบอกว่า “ฉันไม่รู้” กับคนกันเองมาก ๆ และ/หรือสถานการณ์ก็กันเองมาก ๆ ด้วย ซึ่งจะว่าไปก็มีแบ่งย่อยได้อีกหลายแบบอยู่นะ อย่างเช่นเวลาที่เราไม่รู้คำตอบจริง ๆ แต่แทนที่จะ “I don’t know.” ตรง ๆ ลองตอบวิธีใหม่แบบนี้ดูสิคะ ฟังแล้วกระชับ เจ๋งกว่าทำให้แลดูเป็นคนเก่ง และเข้าใจภาษาขึ้นมาทันทีด้วย
สมมุติเพื่อนถามเราเกี่ยวกับใครคนหนึ่งเช่น
– Will he come back?
เขาจะกลับมาใหม่
– Search me.
ฉันไม่รู้หรอก
– (It) beats me.
ฉันไม่รู้หรอก
– Don’t ask me. I’m always the last to know.
อย่ามาถามฉันเลย อย่างฉันน่ะตกข่าวตลอด
– Language Tip
คำว่า “search” แปลตรง ๆ ว่า “ค้นหา” แต่ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าให้เขาเข้ามา”ค้นตัวฉัน” จริง ๆ นะคะ เป็นคำสแลง (idiom) เท่านั้นค่ะ
– Language Tip
คำว่า “beat” แปลตรง ๆ ว่า “ดี” แต่ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าฉันถูกตีจริง ๆ อีก เหมือนกัน และไม่ว่าจะออกเสียง “it” ด้วยหรือไม่ เราต้องไม่ลืมออกเสียง “s” ใน “beats” ให้ชัดด้วย (เพราะไม่งั้นจะผิดความหมาย และอาจโดนตีเข้าจริง ๆ ก็ได้นะคะ)
แต่ถ้าเป็นเวลาโดนสอบสวน เอ๊ย…สอบถามในสิ่งที่เพื่อนเราก็น่าจะเดาได้ราง ๆ (หรือชัดมาก ๆ) อยู่แล้วว่าเราไม่มีทางรู้เห็นข้อมูลนั้นแน่ ๆ การต้องตอบคำถามในสถานการณ์แบบนี้หลายคนอาจมีอารมณ์ประมาณเหวอนิด ๆ เหวี่ยงหน่อย ๆ ปนเข้ามาด้วยใช่ไหมคะ อนุญาตให้เปลี่ยนมาใช้ตัวอย่างเหล่านี้ได้
สมมุติว่าเป็นคำถามเดียวกับหน้าที่แล้วนะคะ
– I’m not a mind reader.
ฉันไม่ใช่นักอ่านใจคนนะ
– What are you asking me for?
เธอจะมาถามฉันเพื่ออะไร
– How (the hell) should I know?
แล้วฉันจะไปรู้เหรอ (วะ)
– Language Tip
คำว่า “the hell” ในวงเล็บนี้ ใช้เติมเข้าไปเฉพาะเวลาที่ระดับความ “วีน” หรือความ “เหวอ” ของเราสูงกว่าปกติ เป็นรูปประโยคแบบไม่ทางการมาก ๆ นะคะ ควรใช้กับเพื่อนสนิทเท่านั้น
“ฉันไม่รู้” แบบถัดมาคือไม่ใช่แค่เราไม่รู้คนเดียวนะ แต่เรื่องที่ถามมานั้นมันยากกว่าปริศนาอะไรเอ่ยระดับแอดวานซ์เสียอีก อย่างเช่น มาถามเรื่องในอดีตอันพิศวง หรืเรื่องในอนาคตที่คาดเดาไม่ถูก ยากขนาดนี้คงมีแต่พระเจ้าเท่านั้นแหละที่ตอบได้ พูดง่าย ๆ คือ “ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะ”
สมมุติเป็นคำถามเดียวกับหน้าที่แล้วอีกเหมือนกันค่ะ
– Who knows?
ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะ
– It’s anyone’s guess.
ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะ
– God (only) knows.
มีแต่พระเจ้าแหละที่รู้
– Your guess is as good as mine.
ฉันก็ไม่ได้รู้ดีไปกว่าเธอหรอก (ไม่มีใครรู้คำตอบหรอก)
– “The only true wisdom is in knowing you know nothing.”
ผู้มีปัญหาที่แท้จริงคือผู้ที่รู้ว่าตนไม่รู้อะไรเลย”
การไม่รู้อะไรก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแย่เสมอไปนะคะ โซเครติส(Socrates) นักปราชญ์ชาวกรีกผู้แสวงหาความจริงและเป็นผู้วางรากฐานสำคัญให้กับปรัชญาตะวันตก เคยกล่าวไว้ว่า
โซเครติสเชื่อว่าเมื่อเรายอมรับว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลย เราก็พร้อมที่จะรับและเรียนรู้สิ่งใหม่เสมอ เสมือนน้ำไม่เต็มแก้วที่กระหายจะถูกเติมเต็มนั่นเอง เพราะฉะนั้นถ้าวันนี้เรายังไม่รู้หรือไม่ถนัดในเรื่องไหนก็อย่าเพิ่งท้อนะคะ ขอให้มีกำลังใจลุกขึ้นมาเรียนรู้และใส่ความตั้งใจลงไปให้เต็มที่ก่อนก็พอ รับรองว่าถ้าพยายามได้ถูกจุดและถูกวิธีแล้วไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้แน่นอน